รูปแบบการเรียนการสอนของเคมพ์แตกต่างไปจากรูปแบบส่วนใหญ่
เนื่องจากได้เปลี่ยนรูปแบบไปจากแบบแนวเส้นตรง (Linear) เคมพ์ได้นำเสนอรูปแบบของเขาในปี 1971
และได้ปรับปรุงในปี 1985 โดยรูปแบบนี้มีองค์ประกอบ 10
ประการ
กระบวนการออกแบบจะเริ่มจากจุดศูนย์กลางและต่อไปยังขั้นตอนใดก่อนก็ได้ โดยไม่ต้องเรียงลำดับกันไป ขั้นตอนในการพิจารณาการออกแบบระบบการสอนเป็นสาระสำคัญ
10 ประการ ได้แก่
1. ความต้องการในการเรียน จุดมุ่งหมายในการสอน
สิ่งสำคัญ/ข้อจำกัด (learning needs, goals, priorities/constraints)
การประเมินความต้องการในการเรียนนับว่ามีส่วนสำคัญในการกำหนดจุดมุ่งหมายและโปรแกรมการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับความต้องการนั้นกล่าวได้ว่าการประเมินความต้องการ
การกำหนดจุดมุ่งหมาย และการเผชิญกับข้อจำกัดต่างๆ
ที่จะเกิดขึ้นเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งสำคัญขั้นแรกในการเริ่มต้นของกระบวนการออกแบบการสอน
จึงจัดอยู่ในศูนย์กลางของระบบ และนับว่าเป็นพื้นฐานของข้อปลีกย่อยต่าง ๆ 9 ประการ
ในกระบวนการออกแบบการสอน
2. ลักษณะของผู้เรียน (learner characteristics)
เป็นการสำรวจเพื่อพิจารณาดูถึงภูมิหลังด้านสังคม
วัฒนธรรม ประเพณี สภาพเศรษฐกิจ ฯลฯ ของผู้เรียนแต่ละคน ทั้งนี้ เพื่อความสะดวกในการจัดสภาพการเรียนรู้ และวิธีการเรียนให้เหมาะสมตามความสามารถและความสนใจของผู้เรียน
3. หัวข้อเรื่อง งาน และจุดประสงค์ทั่วไป (topics-job
tasks purposes)
ในการสอนหรือโปรแกรมของการอบรมที่จัดขึ้นนั้น
ย่อมประกอบด้วยหัวข้อเรื่องของวิชาซึ่งเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับพื้นฐานความรู้
และ/หรือหัวข้องานที่เป็นพื้นฐานทางทักษะด้านกายภาพ ตัวอย่างเช่น
ในวิชาเทคโนโลยีการศึกษา ผู้สอนย่อมจะแบ่งหัวข้อเรื่องของวิชานี้ออกเป็นหัวข้อต่างๆ
เช่น การสื่อสารและการเรียนรู้ การศึกษาทางไกล เป็นต้น หรือในวิชาช่างไฟฟ้า
ผู้สอนจะแบ่งหัวข้องานให้ผู้เรียนสามารถมีทักษะเพื่อปฏิบัติงานต่างๆ ทางด้านนี้ได้
เช่น การติดตั้งสายไฟและการเชื่อมต่อสายไฟ หัวข้อเหล่านี้ย่อมต้องมีการเขียนเป็นจุดประสงค์ทั่วไปไว้ เพื่อให้ทราบอย่างแน่นอนว่าผู้สอนต้องการจะให้ผู้เรียนมีความรู้พื้นฐานและทักษะสามารถทำงานอะไรได้บ้างเมื่อเรียนจบบทเรียนนั้นแล้ว
จุดประสงค์ทั่วไปและหัวข้อต่างๆ นี้ จะเป็นเสมือนกรอบในการออกแบบโปรแกรมการเรียนการสอน
ซึ่งประกอบด้วยเนื้อหาความรู้และวัตถุประสงค์ต่างๆ ของการเรียน
4. เนื้อหาวิชาและการวิเคราะห์งาน (subject
content, task analysis)
ในการวางแผนการสอนนั้น เนื้อหาวิชาที่เกี่ยวข้องกับหัวเรื่องนับเป็นสิ่งสำคัญมากอย่างหนึ่ง
โดยต้องมีการเรียบเรียงเนื้อหาตามลำดับขั้นตอนให้เหมาะสมและง่ายต่อความเข้าใจของผู้เรียน
เนื้อหาวิชาและการวิเคราะห์งานนี้สามารถใช้เพื่อเป็นเกณฑ์ในการกำหนดวัตถุประสงค์การเรียน
หรือเพื่อจัดหาโสตทัศนูปกรณ์ และเพื่อเป็นการออกแบบเครื่องมือทดสอบเพื่อประเมินการเรียนก็ได้
5. วัตถุประสงค์ของการเรียน (learning
objectives)
เป็นการตั้งวัตถุประสงค์ของการเรียนว่าผู้เรียนควรรู้หรือสามารถทำอะไรได้บ้างเมื่อเรียนบทเรียนนั้นจบแล้ว
นอกจากนั้นผู้เรียนจะต้องมีพฤติกรรมอะไรบ้างที่สามารถวัดหรือสังเกตเห็นได้ วัตถุประสงค์นี้จึงต้องเป็นวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมเพื่อเป็นการวางโครงร่างของการสอน
นับว่าเป็นการช่วยในการวางแผนการสอนและการจัดลำดับเนื้อหาวิชา
ตลอดจนเป็นแนวทางในการประเมินผู้เรียนและประสิทธิภาพของการเรียนการสอนด้วย
6. กิจกรรมการเรียนการสอน (teaching/learning
activities)
ในการวางแผนและเลือกกิจกรรมการเรียนการสอนนั้น
ผู้สอนควรจะคำนึงถึงแบบแผนสำคัญ 3 อย่าง คือ การเสนอเนื้อหาในชั้นเรียนควรเป็นรูปแบบใด วิธีการเรียนของผู้เรียนควรเป็นอย่างไร และกิจกรรมที่จะก่อให้เกิดปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้สอนกับผู้เรียนควรมีอะไรบ้าง
สิ่งต่างๆ เหล่านี้ย่อมขึ้นอยู่กับความเหมาะสม เช่น ควรมีการเสนอเนื้อหาการเรียนในชั้นแก่ผู้เรียนพร้อมกันในคราวเดียวทั้งหมด หรือควรให้เป็นการเรียนรายบุคคล หรือการสร้างเสริมประสบการณ์แก่ผู้เรียนนั้นควรจะใช้วิธีการอภิปรายหรือวิธีการทำกิจกรรมกลุ่ม
เป็นต้น การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่เหมาะสมย่อมขึ้นอยู่กับสภาพการณ์ต่างๆ
หลายประการ นับตั้งแต่จุดมุ่งหมาย ลักษณะของผู้เรียน เนื้อหาวิชา และการวัดผล โดยที่ผู้สอนต้องคำนึงถึงกลุ่มผู้เรียนว่ามีขนาดเท่าใด
เพื่อที่จะสามารถจัดกิจกรรมให้สอดคล้องกับจุดมุ่งหมายของวิชาและความสนใจของกลุ่ม
นอกจากนั้น การเลือกวัสดุอุปกรณ์สื่อการสอนก็ต้องให้สัมพันธ์กับกิจกรรมการเรียนการสอนด้วย
7. ทรัพยากรการสอน (instructional resources)
ทรัพยากรในที่นี้หมายถึง
สื่อการสอนที่จะช่วยสนับสนุนและส่งเสริมให้กิจกรรมการเรียนการสอนเป็นไปได้อย่างดีมีประสิทธิภาพ สื่อต่างๆ เหล่านี้สามารถแยกได้เป็น 6 ประเภทคือ ของจริง สื่อที่ไม่ใช้เครื่องฉาย เครื่องเสียง ภาพนิ่งที่ใช้กับเครื่องฉาย ภาพเคลื่อนไหวที่ใช้กับเครื่องฉาย และการใช้สื่อประสม ผู้สอนต้องเลือกสื่อมาใช้ให้เหมาะสมโดยคำนึงถึงกลุ่มผู้เรียนและสถานการณ์การเรียนการสอนด้วย
8. บริการสนับสนุน (support services) บริการสนับสนุน
รวมถึงการจัดสิ่งอำนวยความสะดวกในการเรียนการสอนนับเป็นสิ่งสำคัญอย่างหนึ่ง
ทั้งนี้ย่อมขึ้นอยู่กับงบประมาณของโรงเรียนหรือสถาบันการศึกษาแต่ละแห่งด้วยว่าจะมีงบประมาณในการว่าจ้างบุคลากร และซื้อวัสดุอุปกรณ์ เพื่อใช้ในการศึกษามากน้อยเพียงใด บริการนี้รวมไปถึงค่าใช้จ่ายในการให้คำปรึกษาและวางแผนของนักวิชาการ
การทดลองผลงาน การฝึกอบรม บริการสนับสนุนนี้แบ่งได้เป็น 6 ประเภท คือ งบประมาณ สถานที่อาคารเรียน สื่อวัสดุ อุปกรณ์ บุคลากร และตารางเวลาที่เหมาะสมในการทำงาน
9. การประเมินการเรียน (learning evaluation)
เป็นการประเมินว่าผู้เรียนได้รับความรู้ความสามารถบรรลุผลตามจุดมุ่งหมายที่ตั้งไว้หรือไม่ และมากน้อยเพียงใด โดยการสร้างเครื่องมือทดสอบและวัดผล ทั้งนี้
เพื่อเป็นการทราบข้อบกพร่องต่างๆ ของระบบการสอน
และเพื่อเป็นแนวทางในการปรับปรุงแก้ไขการสอนนั้นต่อไป
10. การทดสอบก่อนการเรียน (pretesting) เป็นการทดสอบเบื้องต้นก่อนว่าผู้เรียนมีประสบการณ์เดิมและพื้นความรู้เกี่ยวกับเรื่องที่จะสอนใหม่อย่างไรบ้าง
หรือมีความรู้ความชำนาญอะไรบ้างเกี่ยวกับวิชาที่เรียนมาแล้ว
การประเมินก่อนการเรียนเป็นเครื่องมือชี้ความพร้อมของผู้เรียนว่าผู้เรียนควรจะได้เรียนรู้อะไรเพิ่มเติมอีกบ้างจากความรู้เก่าที่เคยเรียนมา
ในการใช้แบบจำลองระบบการออกแบบการสอนของเคมพ์ทั้ง
10 ขั้นตอนนี้ ผู้สอนจะต้องเริ่มต้นจากจุดศูนย์กลางก่อน โดยพิจารณาในเรื่องของความต้องการในการเรียน
จุดมุ่งหมายในการสอน และข้อจำกัดต่างๆ
หลังจากนั้นจะเริ่มใช้ขั้นตอนใดก่อนก็ได้โดยไม่จำเป็นต้องเรียงลำดับกันและสามารถพัฒนาการสอนในขั้นตอนใดขั้นตอนหนึ่งให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากยิ่งขึ้นได้ด้วยการใช้การประเมิน
2 ลักษณะ คือ
1. การประเมินระหว่างการสอน (formative evaluation) เป็นการประเมินในระหว่างดำเนินงานพัฒนาระบบการสอน
และมีการปรับปรุงควบคู่กันไปด้วย หลังจากนั้นจะเป็น
2.
การประเมินรวบยอดหรือการประเมินสรุปผล (summative
evaluation) ซึ่งเป็นการประเมินหลังจากการใช้ระบบการสอนนั้นสิ้นสุดลง ทั้งนี้เพื่อเป็นการปรับปรุงระบบการสอนให้ใช้ดีมีคุณภาพ
ในขณะเดียวกันจะมีการให้บริการสนับสนุน การวางแผนและการจัดการโครงการ เพื่อพัฒนาการระบบการสอน
ข้อแนะนำในการเลือกสื่อการสอน
อาจเริ่มต้นจากการตอบคำถาม 3 ข้อดังต่อไปนี้
1. วิธีการสอนแบบใดจึงจะเหมาะสมที่สุดกับวัตถุประสงค์การเรียนรู้และลักษณะของผู้เรียน
เช่น ควรใช้การนำเสนอ การเรียนรู้ด้วยตนเองตามจังหวะการเรียนรู้ของผู้เรียนแต่ละคน
หรือการเรียนแบบกลุ่มย่อย
2. ประสบการณ์การเรียนรู้แบบใดเหมาะสมที่สุดกับวัตถุประสงค์การเรียนรู้
เช่น ประสบการณ์ตรง ฟังคำบรรยาย อ่านเอกสาร/ตำรา
3. ถ้ามีการเลือกให้ผู้เรียนมีประสบการณ์การเรียนรู้โดยผ่านการรับรู้หรือการรับสัมผัส
ต้องใช้สื่อที่มีคุณลักษณะอย่างไรจึงจะเหมาะสมกับการรับรู้หรือการรับสัมผัสนั้นๆ
มากที่สุด
***
รูปแบบนี้เหมาะสำหรับนักออกแบบที่ยังใหม่ต่อการออกแบบและพัฒนาระบบการสอน เพราะจะให้อิสระในการเขียนวัตถุประสงค์