วันพุธที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ระบบการสอนของเคมพ์ (Jerrold/Kemp)







                รูปแบบการเรียนการสอนของเคมพ์แตกต่างไปจากรูปแบบส่วนใหญ่  เนื่องจากได้เปลี่ยนรูปแบบไปจากแบบแนวเส้นตรง  (Linear)  เคมพ์ได้นำเสนอรูปแบบของเขาในปี  1971  และได้ปรับปรุงในปี  1985  โดยรูปแบบนี้มีองค์ประกอบ  10  ประการ  กระบวนการออกแบบจะเริ่มจากจุดศูนย์กลางและต่อไปยังขั้นตอนใดก่อนก็ได้  โดยไม่ต้องเรียงลำดับกันไป  ขั้นตอนในการพิจารณาการออกแบบระบบการสอนเป็นสาระสำคัญ 10 ประการ ได้แก่
1. ความต้องการในการเรียน จุดมุ่งหมายในการสอน สิ่งสำคัญ/ข้อจำกัด (learning needs, goals, priorities/constraints)
การประเมินความต้องการในการเรียนนับว่ามีส่วนสำคัญในการกำหนดจุดมุ่งหมายและโปรแกรมการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับความต้องการนั้นกล่าวได้ว่าการประเมินความต้องการ การกำหนดจุดมุ่งหมาย และการเผชิญกับข้อจำกัดต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งสำคัญขั้นแรกในการเริ่มต้นของกระบวนการออกแบบการสอน จึงจัดอยู่ในศูนย์กลางของระบบ และนับว่าเป็นพื้นฐานของข้อปลีกย่อยต่าง ๆ 9 ประการ ในกระบวนการออกแบบการสอน
2. ลักษณะของผู้เรียน (learner characteristics)
เป็นการสำรวจเพื่อพิจารณาดูถึงภูมิหลังด้านสังคม วัฒนธรรม ประเพณี สภาพเศรษฐกิจ ฯลฯ ของผู้เรียนแต่ละคน ทั้งนี้  เพื่อความสะดวกในการจัดสภาพการเรียนรู้  และวิธีการเรียนให้เหมาะสมตามความสามารถและความสนใจของผู้เรียน
3. หัวข้อเรื่อง งาน และจุดประสงค์ทั่วไป (topics-job tasks purposes)
ในการสอนหรือโปรแกรมของการอบรมที่จัดขึ้นนั้น ย่อมประกอบด้วยหัวข้อเรื่องของวิชาซึ่งเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับพื้นฐานความรู้ และ/หรือหัวข้องานที่เป็นพื้นฐานทางทักษะด้านกายภาพ ตัวอย่างเช่น ในวิชาเทคโนโลยีการศึกษา ผู้สอนย่อมจะแบ่งหัวข้อเรื่องของวิชานี้ออกเป็นหัวข้อต่างๆ เช่น การสื่อสารและการเรียนรู้ การศึกษาทางไกล เป็นต้น หรือในวิชาช่างไฟฟ้า ผู้สอนจะแบ่งหัวข้องานให้ผู้เรียนสามารถมีทักษะเพื่อปฏิบัติงานต่างๆ ทางด้านนี้ได้ เช่น การติดตั้งสายไฟและการเชื่อมต่อสายไฟ หัวข้อเหล่านี้ย่อมต้องมีการเขียนเป็นจุดประสงค์ทั่วไปไว้  เพื่อให้ทราบอย่างแน่นอนว่าผู้สอนต้องการจะให้ผู้เรียนมีความรู้พื้นฐานและทักษะสามารถทำงานอะไรได้บ้างเมื่อเรียนจบบทเรียนนั้นแล้ว จุดประสงค์ทั่วไปและหัวข้อต่างๆ นี้ จะเป็นเสมือนกรอบในการออกแบบโปรแกรมการเรียนการสอน ซึ่งประกอบด้วยเนื้อหาความรู้และวัตถุประสงค์ต่างๆ ของการเรียน
4. เนื้อหาวิชาและการวิเคราะห์งาน (subject content, task analysis)
ในการวางแผนการสอนนั้น  เนื้อหาวิชาที่เกี่ยวข้องกับหัวเรื่องนับเป็นสิ่งสำคัญมากอย่างหนึ่ง  โดยต้องมีการเรียบเรียงเนื้อหาตามลำดับขั้นตอนให้เหมาะสมและง่ายต่อความเข้าใจของผู้เรียน  เนื้อหาวิชาและการวิเคราะห์งานนี้สามารถใช้เพื่อเป็นเกณฑ์ในการกำหนดวัตถุประสงค์การเรียน  หรือเพื่อจัดหาโสตทัศนูปกรณ์  และเพื่อเป็นการออกแบบเครื่องมือทดสอบเพื่อประเมินการเรียนก็ได้
5. วัตถุประสงค์ของการเรียน (learning objectives)
เป็นการตั้งวัตถุประสงค์ของการเรียนว่าผู้เรียนควรรู้หรือสามารถทำอะไรได้บ้างเมื่อเรียนบทเรียนนั้นจบแล้ว นอกจากนั้นผู้เรียนจะต้องมีพฤติกรรมอะไรบ้างที่สามารถวัดหรือสังเกตเห็นได้  วัตถุประสงค์นี้จึงต้องเป็นวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมเพื่อเป็นการวางโครงร่างของการสอน  นับว่าเป็นการช่วยในการวางแผนการสอนและการจัดลำดับเนื้อหาวิชา ตลอดจนเป็นแนวทางในการประเมินผู้เรียนและประสิทธิภาพของการเรียนการสอนด้วย
6. กิจกรรมการเรียนการสอน (teaching/learning activities)
ในการวางแผนและเลือกกิจกรรมการเรียนการสอนนั้น  ผู้สอนควรจะคำนึงถึงแบบแผนสำคัญ  3  อย่าง  คือ  การเสนอเนื้อหาในชั้นเรียนควรเป็นรูปแบบใด  วิธีการเรียนของผู้เรียนควรเป็นอย่างไร  และกิจกรรมที่จะก่อให้เกิดปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้สอนกับผู้เรียนควรมีอะไรบ้าง  สิ่งต่างๆ  เหล่านี้ย่อมขึ้นอยู่กับความเหมาะสม  เช่น  ควรมีการเสนอเนื้อหาการเรียนในชั้นแก่ผู้เรียนพร้อมกันในคราวเดียวทั้งหมด  หรือควรให้เป็นการเรียนรายบุคคล  หรือการสร้างเสริมประสบการณ์แก่ผู้เรียนนั้นควรจะใช้วิธีการอภิปรายหรือวิธีการทำกิจกรรมกลุ่ม  เป็นต้น  การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่เหมาะสมย่อมขึ้นอยู่กับสภาพการณ์ต่างๆ  หลายประการ  นับตั้งแต่จุดมุ่งหมาย  ลักษณะของผู้เรียน เนื้อหาวิชา  และการวัดผล  โดยที่ผู้สอนต้องคำนึงถึงกลุ่มผู้เรียนว่ามีขนาดเท่าใด  เพื่อที่จะสามารถจัดกิจกรรมให้สอดคล้องกับจุดมุ่งหมายของวิชาและความสนใจของกลุ่ม  นอกจากนั้น  การเลือกวัสดุอุปกรณ์สื่อการสอนก็ต้องให้สัมพันธ์กับกิจกรรมการเรียนการสอนด้วย
7. ทรัพยากรการสอน (instructional resources)
ทรัพยากรในที่นี้หมายถึง สื่อการสอนที่จะช่วยสนับสนุนและส่งเสริมให้กิจกรรมการเรียนการสอนเป็นไปได้อย่างดีมีประสิทธิภาพ  สื่อต่างๆ เหล่านี้สามารถแยกได้เป็น  6  ประเภทคือ  ของจริง  สื่อที่ไม่ใช้เครื่องฉาย  เครื่องเสียง ภาพนิ่งที่ใช้กับเครื่องฉาย  ภาพเคลื่อนไหวที่ใช้กับเครื่องฉาย  และการใช้สื่อประสม  ผู้สอนต้องเลือกสื่อมาใช้ให้เหมาะสมโดยคำนึงถึงกลุ่มผู้เรียนและสถานการณ์การเรียนการสอนด้วย
8. บริการสนับสนุน (support services)  บริการสนับสนุน  รวมถึงการจัดสิ่งอำนวยความสะดวกในการเรียนการสอนนับเป็นสิ่งสำคัญอย่างหนึ่ง  ทั้งนี้ย่อมขึ้นอยู่กับงบประมาณของโรงเรียนหรือสถาบันการศึกษาแต่ละแห่งด้วยว่าจะมีงบประมาณในการว่าจ้างบุคลากร  และซื้อวัสดุอุปกรณ์  เพื่อใช้ในการศึกษามากน้อยเพียงใด  บริการนี้รวมไปถึงค่าใช้จ่ายในการให้คำปรึกษาและวางแผนของนักวิชาการ  การทดลองผลงาน  การฝึกอบรม  บริการสนับสนุนนี้แบ่งได้เป็น 6 ประเภท  คือ  งบประมาณ  สถานที่อาคารเรียน  สื่อวัสดุ  อุปกรณ์  บุคลากร  และตารางเวลาที่เหมาะสมในการทำงาน
9. การประเมินการเรียน (learning evaluation)
เป็นการประเมินว่าผู้เรียนได้รับความรู้ความสามารถบรรลุผลตามจุดมุ่งหมายที่ตั้งไว้หรือไม่  และมากน้อยเพียงใด  โดยการสร้างเครื่องมือทดสอบและวัดผล  ทั้งนี้  เพื่อเป็นการทราบข้อบกพร่องต่างๆ  ของระบบการสอน  และเพื่อเป็นแนวทางในการปรับปรุงแก้ไขการสอนนั้นต่อไป
10. การทดสอบก่อนการเรียน (pretesting)  เป็นการทดสอบเบื้องต้นก่อนว่าผู้เรียนมีประสบการณ์เดิมและพื้นความรู้เกี่ยวกับเรื่องที่จะสอนใหม่อย่างไรบ้าง  หรือมีความรู้ความชำนาญอะไรบ้างเกี่ยวกับวิชาที่เรียนมาแล้ว  การประเมินก่อนการเรียนเป็นเครื่องมือชี้ความพร้อมของผู้เรียนว่าผู้เรียนควรจะได้เรียนรู้อะไรเพิ่มเติมอีกบ้างจากความรู้เก่าที่เคยเรียนมา

ในการใช้แบบจำลองระบบการออกแบบการสอนของเคมพ์ทั้ง 10 ขั้นตอนนี้  ผู้สอนจะต้องเริ่มต้นจากจุดศูนย์กลางก่อน โดยพิจารณาในเรื่องของความต้องการในการเรียน  จุดมุ่งหมายในการสอน  และข้อจำกัดต่างๆ หลังจากนั้นจะเริ่มใช้ขั้นตอนใดก่อนก็ได้โดยไม่จำเป็นต้องเรียงลำดับกันและสามารถพัฒนาการสอนในขั้นตอนใดขั้นตอนหนึ่งให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากยิ่งขึ้นได้ด้วยการใช้การประเมิน 2 ลักษณะ คือ
                      1. การประเมินระหว่างการสอน (formative evaluation) เป็นการประเมินในระหว่างดำเนินงานพัฒนาระบบการสอน และมีการปรับปรุงควบคู่กันไปด้วย หลังจากนั้นจะเป็น
                    2. การประเมินรวบยอดหรือการประเมินสรุปผล (summative evaluation) ซึ่งเป็นการประเมินหลังจากการใช้ระบบการสอนนั้นสิ้นสุดลง  ทั้งนี้เพื่อเป็นการปรับปรุงระบบการสอนให้ใช้ดีมีคุณภาพ  ในขณะเดียวกันจะมีการให้บริการสนับสนุน  การวางแผนและการจัดการโครงการ  เพื่อพัฒนาการระบบการสอน  

ข้อแนะนำในการเลือกสื่อการสอน อาจเริ่มต้นจากการตอบคำถาม 3 ข้อดังต่อไปนี้
1. วิธีการสอนแบบใดจึงจะเหมาะสมที่สุดกับวัตถุประสงค์การเรียนรู้และลักษณะของผู้เรียน เช่น ควรใช้การนำเสนอ การเรียนรู้ด้วยตนเองตามจังหวะการเรียนรู้ของผู้เรียนแต่ละคน หรือการเรียนแบบกลุ่มย่อย
2. ประสบการณ์การเรียนรู้แบบใดเหมาะสมที่สุดกับวัตถุประสงค์การเรียนรู้ เช่น ประสบการณ์ตรง ฟังคำบรรยาย อ่านเอกสาร/ตำรา
3. ถ้ามีการเลือกให้ผู้เรียนมีประสบการณ์การเรียนรู้โดยผ่านการรับรู้หรือการรับสัมผัส ต้องใช้สื่อที่มีคุณลักษณะอย่างไรจึงจะเหมาะสมกับการรับรู้หรือการรับสัมผัสนั้นๆ มากที่สุด

***  รูปแบบนี้เหมาะสำหรับนักออกแบบที่ยังใหม่ต่อการออกแบบและพัฒนาระบบการสอน  เพราะจะให้อิสระในการเขียนวัตถุประสงค์